ประวัติพระธาตุพนม




ประวัติพระธาตุพนม 

“พระธาตุพนมเริ่มจากการก่ออิฐดิบ ก่อเป็นรูปเตาสี่เหลี่ยม ยอดเป็นรูปฝาชีสูง 1 วา ภายในขุดลึกลง 2 ศอก ใช้ไม้คันธรส ชมพู นิโครธ ไม้รัง เผาอยู่ 3 วัน 3 คืน แล้วจึงนำหินหมากคอม ก้อนกรวดในแม่น้ำมาถมหลุม อัญเชิญพระอุรังคธาตุประดิษฐาน เมื่อ พ.ศ. 8”

ประวัติพระธาตุพนมจากตำนานพระอุรังคธาตุ กล่าวถึงสมัยพุทธกาล พระพุทธองคืพร้อมด้วยพระอานนท์เสด็จมายังดินแดนสุวรรณภูมิ ภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ในบริเวณเมืองดอยนันทกังรี (หลวงพระบาง) ค้นแทเสื้อน้ำ (เวียงจันทร์) ท่าแขก เมืองรุกขนคร (บ้านหลักศิลา ต.พระธาตุพนม อ.ธาตุพนม) หนองหานหลวง (สกลนคร) และอุดรธานี

พระองค์ได้ทรงทำนายถึงการเกิดเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ ซึ่งจะเป็นชุมชนที่ค้ำชูพระพุทธศาสนา เป็นที่สักการะของปวงชนสืบไปในภายภาคหน้า พระพุทธอง๕ได้ทรงทำนายถึงการกลับชาติมาเกิดของพญาศรีโคตรบูร ซึ่งเป็นผู้อัญเชิญพระพุทธเจ้าไปรับบาตรในเมืองของตน เมื่อเสร็จแล้วก็ถือบาตรมาส่งพระพุทธเจ้าถึงดอย กัปปนคีรีหรือภูกำพร้า สถานที่ประทับของพระพุทธเจ้าในขณะนั้น ด้วยอานิสงส์ผลบุญนี้เอง เมื่อพญาศรีโคตรบูร ได้กลับชาติมาเกิดในเมืองสาเกตนคร ที่อยู่ทางทิศใต้มีนามว่า “สุริยกุมาร” แล้วกลับชาติมาเกิดครั้งที่สองเป็นพญาสุมิตตธรรม เจ้าเมืองมรุกขนคร (นครที่อยู่ในป่าไม้รวก) ซึ่งเป็นเจ้าเมืองที่ฝักใฝ่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก

ส่วนเมืองมรุกขนครนั้น พระพุทธองค์ทรงทำนายต่อไปว่าจักย้ายไปตั้งพระพุทธศาสนาใกล้ที่อยู่ของพญาปลา (ตรงที่พระพุทธองค์ประทับรอบพระบาทไว้เรียกว่า รอยพระบาทเวินปลาปัจจุบันคือบริเวณที่ตั้งตรงข้ามตัวเมืองนครพนม) แต่เมืองนั้นมิอาจตั้งเป็นเอกราชอยู่ได้ดังแต่ก่อน จักเป็นเมืองน้อยขึ้นต่อเมืองใหญ่ ที่เจ้าพญาผู้มีอาจบุญญาธิการเสวยราชสมบัติครอบครองนั้นแล

พญาสมิตตธรรมเจ้าเมืองมรุกขนคร จะเป็นผู้มีโอกาสสถาปนาพระอุรังคธาตุ (กระดูกหน้าอกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ณ ภูกำพร้าริมฝั่งแม่น้ำโขง อันจะเป็นผลบุญให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารไปได้

พระพุทธองค์ได้เรียกพระมหากัสสปะ มาจากนครราชคฤห์มาสั่งเสียว่า เมื่อพระองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้วให้นำพระอุรังคธาตุของพระองค์มาไว้เหนือภูกำพร้า ในขณะเดียวกันที่พุทธองค์เสด็จไปในที่ต่าง ๆ ในดินแดนสุวรรณภูมิ พระองค์ก็ทรงประทับรอยพระพุทธบาท ไว้เป็นสัญลักษณ์ของการสถาปนาพระพุทธศาสนา ที่พระบาทโพนฉัน พระบาทเวินปลา พระธาตุเชิงชุม และดอยนันทกังรีด้วย (บริเวณหนองคาย นครพนม สกลนคร และหลวงพระบาง)

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้ว ล่วงเข้าในปี พ.ศ. 8 พระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุจากแคว้นกุสินารายณ์แห่งชมพูทวีปมาที่ดอนแท่น (อ.พรรณานิคม สกลนคร) เพื่อจะเดินทางต่อไปยังภูกำพร้าตามที่พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้ก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ขณะเดินทางพญาสุวรรณภิงคารเจ้าเมืองหนองหานหลวงกับพญาคำแดงเจ้าเมืองหนองหานน้อย พระญาติออกมาต้อนรับ

พญาสุวรรณภิงคารเจ้าเมืองหนองหานหลวงใต้ ขอพระมหากัสสปะประดิษฐานพระอุรังคธาตุไว้ ณ องค์เจดีย์ที่ได้สร้างเตรียมไว้ล่วงหน้า คือพระธาตุภูเพ็กและพระธาตุนารยณ์เจงเวง (พระนางนารายณ์เจงเวงพระมเหสีสร้างไว้)  แต่เมื่อได้รับฟังเหตุผลด้วยเป็นการฝืนคำสั่งของพระพุทธเจ้าจากพระมหากัสสปะเถระเจ้าแล้วก็เชื่อฟังโดยดี และยังนำทางไปสู่ภูกำพร้าแคว้น ศรีโคตรบูร

แต่อย่างไรก็ตามพระมหากัสสปะก็ได้ให้พระอังคารธาตุบรรจุไว้ ณ พระธาตุนาเวงหรือนารายณ์เจงเวงที่เมืองหนองหานหลวง ที่ในคราวพระพุทธเจ้ามาโปรด พญาสุวรรณภิงคารและพระมเหสีก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานได้ให้รอยพระพุทธบาท มอบเพื่อมเหสีพระองค์ไว้ให้สักการบูชาพญาสุวรรณภิงคารได้สร้างพระเจดีย์สวมรอยพระพุทธบาททั้งสี่ไว้เป็นที่สักการบูชา คือ พระธาตุเชิงชุม วัดธาตุศาสดาราม อ.เมือง จ.สกลนคร ปัจจุบันและยังได้พระอังคารธาตุไว้สักการบูชาอีก

เมื่อพระมหากัสสปะมาถึงบริเวณภูกำพร้าแล้วพญานันทเสนเจ้าเมืองศรีโคตรบูร (เป็นเจ้าเมืองสืบต่อจากพระเจ้าศรีโคตรบูรผู้เป็นพระเชษฐา) ได้ให้การต้อนับเป็นอย่างดี ก็มีท้าวพญาจากแว่นแคว้นสำคัญ 5 แคว้น ในภูมิภาคนั้นมาขอร่วมบุญสร้างอูบมุงประดิษฐานพระอุรังคธาตุด้วย โดยก่อกำแพงองค์ละด้านในทิศที่แคว้นของตนตั้งอยู่ ดังนี้

1.  พญาจุลณีพรหมทัติ ผู้ครองแคว้นบริเวณหลวงพระบางสิบสองจุไทย ก่อด้านทิศตะวันออก

2.  พญาคำแดง ผู้ครองแคว้นหนองหานน้อย ก่อด้านทิศตะวันตก

3.  พญานันทเสน ผู้ครองแคว้นโคตรบูร ก่อด้านทิศเหนือ

4.  พญาอินทปัฐนคร ผู้ครองแคว้นเขมรโบราณ ก่อด้านทิศใต้

พระมหากัสสปะได้ผู้นำการก่อสร้าง โดยใช้อิฐดิบขนาดเท่าฝ่ามือของท่านเป็นเกณฑ์มาตรฐาน ท้าวพญาทั้งหลายจึงให้ขุนนางที่ตามเสด็จ จัดการปั้นอิฐดิบขนาดมาตรฐานขึ้น ก่อเป็นรูปตาสี่เหลี่ยม ก่อกำแพงอูบมุงกว้างด้านละ 2 วา สูงขึ้นมาด้านละ 1 วา ส่วนพญาสุวรรณภิงคารเจ้าเมืองหนองหานหลวงได้เป็นผู้ก่อยอดรูปฝาชีสูงขึ้นอีก 1 วา ส่วนในอูบมุงนั้น ขุดลึกลงไปอีก 2 ศอก เช่นกัน

ข้างในอูบมุงเป็นโพรง มีประตูเปิดปิดทั้ง 4 ด้าน ผนังของ อูบมุงเปิดประตูไว้ทุกด้าน เมื่อก่อเสร็จเป็นสถูปแล้วจึงสามารถเอาไม้ฟืนพวกไม้คันธรส ชมพู นิโครธและไม้รังมาใส่ทุกประตู แล้วเผาอยู่เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน อูบมุงจึงสุกดี จึงนำหินหมากคอม ก้อนกรวดในแม่น้ำมาถมหลุม

หลังจากนั้นท้าวพญาทั้ง 5 จึงได้บริจาคสิ่งของข้าวของเงินทองของมีค่าจำนวนมากบรรจุไว้ภายในอูบมุงเพื่อเป็นพุทธบูชา

ต่อจากนั้นพระมหากัสสปะจึงอัญเชิญพระอังคธาตุประดิษฐานไว้ในอูบมุงปิดประตูไว้ทั้งสี่ด้าน ขณะนั้นเององค์พระธาตุก็คลี่ผ้ากัมพลที่ห่อหุ้มออก เสด็จมาประดิษฐานบนฝ่ามือของพระมหากัสสปะ เป็นนิมิตเตือนพระมหากัสสปะให้รู้ว่า พระพุทธองค์ตรัสสั่งให้นำพระอุรังคธาตุมาประดิษฐานหรือบรรจุไว้ ณ ภูกำพร้าเท่านั้น มิได้ตรัสสั่งให้สถาปนา เสด็จแล้วพระธาตุจึงกลับไปสู่ที่ประดิษฐานในอูบมุงตามเดิม

เมื่อสร้างพระสถูปอูบมุงเสร็จแล้ว ท้าวพญาทั้ง 5 ได้ให้ข้าราชบริพารไปนำเอาหลักหินจากเมืองสำคัญ ๆ ที่เป็นเมืองพุทธประวัติจากอินเดียและลังกา (เมืองกุสินารายณ์ เมืองพาราณสี เมืองตักศิลา เมืองลังกา) นำมาปักไว้ที่มุมทั้งสี่ทิศ ทั้งยังสร้างรูปสัตว์อัจมูขี (สัตว์ประหลาด) ไว้ที่มุมทิศตะวันออก-ตกด้านเหนือ-ใต้ด้วย

ส่วนพญาสุวรรณภิงคาร ให้สร้างรูปม้าอาชาไนยโดยให้หันหน้าไปทางทิศเหนือ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่าพระธาตุเสด็จมาทางทิศเหนือ และพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองจากทิศเหนือลงไปทางทิศใต้

ส่วนพระมหากัสสปะให้สร้างม้าพลาหกไว้ตัวหนึ่งตั้งคู่กันให้หันหน้าไปทางทิศเหนือเป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่า ต่อไปภายหน้าพญาศรีโคตรบูร (องค์ที่ถือบาตรให้พระพุทธเจ้าเมื่อกลับชาติมาเกิด) จะได้สถาปนาองค์พระธาตุ เพื่อสืบสานศาสนาต่อไปในอนาคต

เมื่อพระมหากัสสปะ พระอรหันต์ และท้าวพญาทั้ง 5 เสด็จกลับไปแล้ว พระอินทร์และเหล่าเทพยดาทั้งปวง ก็เสด็จลงมาฉลองพระธาตุเป็นการใหญ่ พระอินทร์ได้มอบหมายให้พระวิสสุกรรมเทวบุตรและพระธรรมกถิกเทวบุตร ลงมาสลักลายผนังอูบมุงทั้งสี่ด้าน โดยใช้มีดควักสลักลาย ด้ามแก้วมรกตยาว 9 วา ส่วนพระธรรมกถิกเทวบุตร ถือขวดแก้วน้ำทิพย์ลงมาด้วย

เทพทั้งสองสลักผนังอูบมุงภายนอกตั้งแต่เวลาค่ำถึงเที่ยงคืน โดยเริ่มสลักจากผนังด้านทิศตะวันออกก่อน ก่อนสลักลายได้ใช้น้ำมันร่างลวดลายก่อน แล้วจึงสลักเป็นรูปและความหมายดังต่อไปนี้

ด้านทิศตะวันออก สลักรูปพญา จุลณีพรหมทัติทรงช้างรูปราชบุตรทรงม้า

ด้านทิศตะวันตก สลักรูปพญาคำแดงทรงช้าง รูปเสมาอำมาตย์ขี่ม้า รูปบริวารในหมู่ลายดอกมันทวลี

ด้านทิศเหนือ สลักรูปพญานันทเสนทรงช้างพระอนุชาทรงม้า รูปบริวารในหมู่ลายดอกไม้

ด้านทิศใต้ สลักรูปพญาสุวรรณภิงคารไว้ในผนังทุกด้าน ที่ผนังส่วนบน สลักรูปสีสุนันทเทวบุตร สีมหามายาเทวบุตรและวิสาขาเทวบุตร ผู้ซึ่งลงมาทำความสะอาดอูบมุงครั้งแรกก่อนการสลักมีส่วนร่วมในกระบวนการสลักเรียงรายไว้ทุกด้าน

มีการสลักรูปของพญาสุวรรณภิงคารไว้ในผนังทุกด้าน ที่ผนังส่วนบน สลักรูปสีสุนันทเทวบุตร สีมหามายาเทวบุตรและวิสาขาเทวบุตร ผู้ซึ่งลงมาทำความสะอาดอูบมุงครั้งแรกก่อนการสลักมีส่วนร่วมในกระบวนการสลักเรียงรายไว้ทุกด้าน

หลังจากนั้นได้สั่งให้พระวิสสุกรรมเทวบุตร สลักประวัติพระธาตุพนมไว้ในผนังห้องอูบมุงทั้งหมด และผนังด้านทิศตะวันออก ก็สลักรูปพระอินทร์ นางสุชาดา นางสุจิตรา นางสุนันทา นางสุธรรมา นางโรหิณี นางสาววัตติเกสี นางปติบุปผา นางคันธาลวดี เทพเหล่านั้นอยู่ในท่วงท่านำดอกไม้เสด็จมาบูชาองค์พระธาตุพนม

ผนังภายในด้านเหนือ จะเป็นรูปบุคคลทั้งหลายที่มีส่วนร่วมในการบรรจุพระอังคธาตุในครั้งนั้น คือ พญาทั้งหกเริ่มจากพญาศรีโคตรบรูมาจนถึงพญาทั้งห้ารวมทั้งรูปของนางศรีรัตนเทวีมเหสี ของพญาศรีโคตรบูรด้วย ข้างบนสลักเป็นรูปพระมหากัสสปะและรูปพระอรหันต์ทั้งห้า (แทพระอรหันต์ 500 องค์ สะพายบาตรพนมมือ)

ผนังด้านใต้ จะเป็นรูปพระวิสสุกรรมเทวบุตร รูปพระธรรมกถิก เทวรูป รูปพระสีสุนันทเทวบุตรและรูปสีมหามายาเทวบุตรเทพผู้ร่วมสลักลายทั้งหมด ซึ่งอยู่ในท่วงท่าประนมหัตถ์สักการะองค์พระธาตุเช่นเดียวกัน

ผนังด้านทิศตะวันตก สลักเป็นรูปหมู่เทพและเทพธิดาที่เสด็จลงมาบูชาพระธาตุ รูปสุริยะ และจันทเทวบุตร รูปท้าวจตุโลกบาล รูปพระวิสสุกรรมเทวบุตรที่ลงมาที่ภูกำพร้า

งานสลักภายในอูบมุงทั้งหมดสลักตั้งแต่ยามค่ำจนถึงเที่ยงคืนจึงเสร็จสมบูรณ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น